วันพุธที่
16 เมษายน พ.ศ. 2546 | ||
|
ทัศนะ : แล้วพระเจ้าจะเลือกอยู่ข้างใคร...? ผศ.ดร.รุธิร์ พนมยงค์
ซึ่งเมื่อพิจารณากันแล้วก็จะเห็นว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ค่อนข้างมีความขัดแย้งกันอยู่ ตามความเข้าใจของตัวผมเองนั้น ไม่ว่าจะเป็นศาสนาคริสต์ หรือศาสนาอิสลามก็ตาม ต่างก็มีพระเจ้าองค์เดียวกัน เพียงแต่มีลักษณะการเรียกชื่อที่ต่างกันออกไปเท่านั้นเอง หากเป็นเช่นนี้แล้ว พระเจ้าจะเลือกที่จะเข้าข้างฝ่ายใดกันแน่ ระหว่างฝ่ายสหรัฐ ที่ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ได้กล่าวอ้างว่า สงครามในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องอย่างยิ่ง เพราะพระเจ้าได้ขอให้มีการทำสงครามขึ้น กับทางฝ่ายอิรักที่มีการกล่าวอ้างเช่นเดียวกันว่า พระเจ้าจะเข้ามาคุ้มครองพวกเขา และจะลงโทษชาวอเมริกันที่เข้ามาบุกรุก โดยเปรียบเสมือนกับว่า พระเจ้านั้นเป็นที่พึ่งของชาวอิรัก หากจะมาพิจารณาในส่วนของสหรัฐ เราจะพบว่า ในสมัยที่นายบุช เป็นประธานาธิบดีนั้น ได้มีความพยายามที่จะให้ศาสนาเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อวิถีการดำเนินชีวิตของชาวอเมริกัน เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้เป็นพวกอนุรักษนิยม (Conservative) โดยมีการนำเอาศาสนาเข้ามาผูกกับการทำงานของหน่วยงานของรัฐและประชาชน ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าศาสนานั้นเป็นความเชื่อเฉพาะบุคคล ไม่ควรจะมีการบังคับกัน สิ่งที่น่าสนใจในกรณีนี้ ก็คือ ในอดีตนั้นซัดดัมเองก็ไม่เคยแสดงให้เห็นว่า ตนเองจะเป็นผู้เคร่งครัดในทางศาสนาเท่าใดนัก เพียงแต่ภายหลังจากช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซียที่ซัดดัมได้มีการแสดงตัวออกมาบ้างเหมือนกันว่า เป็นผู้ที่เคร่งครัดทางศาสนา นอกจากนี้ในช่วงที่มีการสู้รบระหว่างอิรักกับสหรัฐนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความต้องการที่จะให้พระเจ้าให้ความคุ้มครองและมอบชัยชนะให้แก่ฝ่ายตนเอง ซึ่งสิ่งที่ผมอยากจะถามต่อไปก็คือ แล้วพระเจ้าจะเลือกอยู่ฝ่ายใด ประเด็นนี้ต่างหากที่เป็นประเด็นที่น่าคิด เพราะต่างฝ่ายต่างก็หาที่พึ่งและพยายามแสดงให้เห็นว่า ฝ่ายตนเองนั้นเป็นฝ่ายที่ถูกต้อง ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเป็นฝ่ายอธรรมที่มีวัตถุประสงค์ในการมุ่งที่จะทำลายฝ่ายธรรมะ ซึ่งหากจะพิจารณากันอย่างแท้จริงก็อาจจะกล่าวได้ว่า ทั้งสองฝ่ายนั้นต่างพยายามที่จะหาที่พึ่งทางจิตใจให้กับฝ่ายของตนเอง เพื่อที่จะยึดเหนี่ยวให้ประชาชนในประเทศของตนเองมีการรวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนและร่วมกันต่อสู้ในสงคราม ในกรณีของอิรัก การอ้างนำในส่วนของศาสนาอิสลามนั้น แท้จริงก็เพื่อระดมให้ชาวมุสลิมเข้ามามีส่วนร่วมในการรบ หรือการต่อต้านการบุกรุกของสหรัฐ สิ่งนี้นับเป็นกลยุทธ์ที่น่าสนใจยิ่ง เพราะว่าจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมานั้น สหรัฐเองก็ไม่พยายามที่จะทำความเข้าใจเกี่ยวกับศาสนาอิสลามเท่าใดนัก รวมถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับชาวมุสลิมในสหรัฐ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชาวอเมริกันเชื้อชาติญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ถูกกักกัน เพียงแต่ว่าในปัจจุบันสหรัฐยังไม่ได้กักกันชาวมุสลิม หากแต่มีความไม่ไว้วางใจในกลุ่มคนเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนของประเทศสหรัฐ เนื่องจากสหรัฐมักจะกล่าวอ้างอยู่เสมอว่า การทำสงครามในครั้งนี้ เป็นการทำเพื่อปลดปล่อยโลกจากคนเช่นซัดดัม โดยมีศาสนาเป็นเกราะกำบังสำหรับการทำสงคราม แต่ในขณะเดียวกันปัญหาหลายๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นภายในประเทศสหรัฐนั้น สหรัฐกลับไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ ซึ่งลักษณะเช่นนี้อาจจะสะท้อนให้เราเห็นภาพในอีกมุมหนึ่ง ก็คือ ผู้นำของสหรัฐไม่สามารถแก้ไขปัญหาภายในประเทศของตัวเองได้จริงใช่หรือไม่ ดังนั้น จึงต้องให้ความสำคัญต่อการดำเนินนโยบายด้านระหว่างประเทศแทน +++++++++ ผศ.ดร.รุธิร์ พนมยงค์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
|
กรุงเทพทัศนะ
หัวข้อ 5 อันดับ ล่าสุด
|
About Us I Suggestion I Site Map I GetThaiFont | Contact Us I Privacy Policy |
| |
copyright @ 2000 Nation Group /
Produced & Designed by : KT Internet Dept. All Right Reserved, Contact us : ktwebmaster@bangkokbiznews.com |